พระด้วยกัน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ตั้งใจฟังธรรมเพราะเราร่วมลงอุโบสถสามัคคี อุโบสถสามัคคีธรรมสิ่งที่มันจะเป็นสัจธรรม เห็นไหม มันต้องคนได้รับการอุปสมบทมาเหมือนกัน ถ้าอุปสมบทมาเหมือนกัน เห็นไหม ถ้าพูดถึงคนเราต่างกันด้วยศีล ถ้าต่างกันด้วยศีลนะเป็นนานาสังวาส เขาร่วมอุโบสถไม่ได้ การร่วมอุโบสถไม่ได้ เขาต้องต่างคนต่างลงอุโบสถ แต่อันนี้เราลงอุโบสถรวมกันก็ได้เพราะเราบวชมาด้วยความสมบูรณ์ในทางศีลในทางธรรม
ในทางศีลทางธรรมนะ เราบวชมาเป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์โดยอุปัชฌายะ อุปัชฌายะยกเข้าหมู่แล้วนี่เราเป็นสงฆ์ ถ้าเราเป็นสงฆ์ เห็นไหม อุโบสถสามัคคี เรามาลงอุโบสถสามัคคีแต่เราต้องฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพราะหัวหน้าเป็นผู้ที่รับผิดชอบ ถ้าหัวหน้าเป็นผู้ที่รับผิดชอบนะเขาเรียกว่าอบรม อบรมบ่มเพาะให้นักบวชให้อยู่ในหลักการ ให้นักบวชอยู่ในศีลในธรรม นักบวชจะเร่ๆ ร่อนๆ ไม่ได้
ถ้านักบวชเร่ๆ ร่อนๆ ดูสิ เวลาเด็กพิเศษ เห็นไหม เด็กพิเศษเพราะมันเป็นเด็กพิเศษ เพราะว่ามันเกิดมาผิดปรกติ ถ้าเด็กพิเศษแล้วนี่เขาต้องดูแลเป็นพิเศษ ถ้าเด็กพิเศษนั่นมันเป็นเรื่องของเด็กพิเศษ แต่ถ้าเป็นปรกติ เห็นไหม เด็กพิเศษเขาเรียนมาแล้วนี่ ถ้ามันเข้ามาในสังคมได้ ทำงานได้ ด้วยความทุ่มเทของผู้ที่อุปการะ เพราะพ่อแม่เขาดูแลของเขาอย่างนั้น ถ้าพ่อแม่เขาดูแลของเขา เขาฟื้นฟูของเขา จนกว่ามันจะรับผิดชอบได้ ถ้ารับผิดชอบได้นี่ชีวิตของเขา เขาจะต้องดำเนินชีวิตของเขาต่อไป นั้นพูดถึงเป็นเด็กพิเศษ
แต่พระพิเศษมันไม่มี ถ้าพระพิเศษๆ มันไม่มีหรอก พระที่เขาจะยอมรับกันได้ เขายอมรับกันได้เพราะพระที่มีคุณธรรม เห็นไหม เราบวชกันมาแล้วเราเสมอกันโดยศีล ไม่มีใครพิเศษ เสมอกันเท่ากัน ถ้าเสมอกันเท่ากันมันต้องอยู่ในศีลในธรรมเท่ากัน มันจะมีใครพิเศษไม่มี ถ้ามีเด็กพิเศษ เด็กพิเศษนั่นมันเด็กเพราะมันเป็นการบกพร่อง แต่นี้ถ้ามันบวชมาแล้ว บวชมาเป็นพระมันสมบูรณ์ในความเป็นพระ ถ้าสมบูรณ์ในความเป็นพระอยู่ด้วยความเป็นพระ เห็นไหม
ถ้าเป็นพระจะลงอุโบสถสามัคคีได้ ถ้าพิเศษมันลงอุโบสถสามัคคีไม่ได้ เช่น เวลาเขาเป็นอาบัติ ถ้าอาบัติขึ้นมามันก็ต้องแยกออกไป ถ้าแยกออกไปแล้วนี่เขาต้องอยู่กรรมของเขา อยู่กรรมของเขาแล้วเขาต้องอยู่ปริวาสของเขา อยู่มานัตของเขา เสร็จแล้วเขาถึงอัพภานยกกลับเข้ามาทั้งหมู่ถึงจะเป็นภิกษุเท่าเสมอกัน ถ้าเท่าเสมอกันนะ การประพฤติปฏิบัติต้องเหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติจะแตกต่างกันได้อย่างไร ถ้าการประพฤติแตกต่างกัน เห็นไหม นานาสังวาสภิกษุจะต่างกันโดยศีล ถ้าต่างกันโดยศีลแล้วเห็นไหมนะ มันจะลงอุโบสถสามัคคีกันไม่ได้ ก็ต้องแยกลงอุโบสถสามัคคีถึงเป็นนานาสังวาส
ภิกษุจะเป็นนานาสังวาสเพราะถือศีลต่างกัน เพราะความเห็นต่างกัน แต่ถ้าความเห็นมันต่างกันมันต้องแยกออกไป เห็นไหม แต่ถ้าจะอยู่ร่วมกันๆ แม้แต่เราเป็นพระนะ เวลาจะลงอุโบสถนี่ สงฆ์เป็นวรรคลงอุโบสถทำสังฆกรรมไม่ได้ สงฆ์เป็นวรรคลงอุโบสถสามัคคีไม่ได้ จะทำสังฆกรรมอย่างอื่น อย่างกิจนิมนต์ อย่างการบวชได้ แต่ถ้าอุโบสถต้องหมด ถ้าพูดถึงว่าผู้ที่มาไม่ได้จะต้องให้ฉันทะมา ถ้าไม่ให้ฉันทะมาสงฆ์ทั้งหมดเป็นอาบัติ
สงฆ์ทั้งหมดทำกันเพราะอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่เวลาบอกว่ากระจายอำนาจๆ แม้แต่พระเทวทัตไปขอปกครองสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ให้ แม้แต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาเรายังไม่ให้เลย เราจะให้ได้อย่างไรละเทวทัต แต่ถ้าเป็นสงฆ์ เห็นไหม ให้สงฆ์ปกครองกันโดยสามัคคีธรรมๆ ที่ไหนเป็นสังฆะมีเป็นสงฆ์ขึ้นมา ให้สงฆ์ปกครองกัน นี่ไงการกระจายอำนาจๆ ไปด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ การกระจายอำนาจออกไปด้วยความสามัคคีด้วยความสามัคคีธรรม จะอยู่ร่วมกันต้องมีความสามัคคีธรรม จะอยู่ร่วมกันมันต้องศีลเสมอกัน
ศีลไม่เสมอกัน ความประพฤติไม่เสมอกันมันจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ถ้ามันอยู่ร่วมกันไม่ได้ คนที่เขายกย่องสรรเสริญ นั้นเขายกย่องสรรเสริญเพราะมีคุณธรรม คำว่ามีคุณธรรม เห็นไหม คือการมีคุณธรรมมันแสดงออกมานี่ มันแสดงออกมาด้วยความถูกต้องดีงาม การแสดงออกมาด้วยความถูกต้องดีงามอันนั้นมันถึงจะเป็นธรรม การแสดงออกมาด้วยความเป็นพาล มันไม่เป็นธรรมหรอก มันเป็นธรรมขึ้นมาได้อย่างไร ถ้ามันไม่เป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นกาฝาก สิ่งที่เป็นกาฝากนะ กาฝากมันจะดูดต้นไม้ให้เหี่ยวเฉาไป นี่ไงความว่าเป็นกาฝากๆ มันมาดูดน้ำเลี้ยงดูดอาหารในต้นไม้
นี่ก็เหมือนกัน พูดถึงพุทธศาสนา พุทธศาสนา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมีพระพุทธกับพระธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯขึ้นมา มันถึงมีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม การที่มีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมมันเป็นโอกาสไง เป็นโอกาสที่สาวกสาวกะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะมีโอกาสไง ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะมีโอกาส โอกาสเพราะอะไร เพราะโอกาสที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมด้วยอำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยปัญญาคุณ ด้วยเมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี่ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ปรารถนามา เห็นไหม เป็นพระโพธิสัตว์ ทนทุกข์ทนยากทนทรมานมาขนาดไหนเพื่อความละเอียดอ่อนของใจ ใจที่มันละเอียดอ่อนแล้วมันได้เข้าไปค้นคว้า เข้าไปวิปัสสนา เข้าไปด้วยการเจริญมรรคเจริญผลในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันถึงจะเป็นธรรมขึ้นมาๆ ธรรมอันนี้มันสูงส่ง ธรรมอันนี้มันมีคุณค่าไง ถ้าธรรมนี้คุณค่านี้ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาทะนุถนอม เขารักษา ดูสิ ดูสังคมไทยๆ เห็นไหม ชั่วชังชี ดีชังสงฆ์ ก็เพราะเขากลัวนี่แหละ เขากลัวบาปกลัวกรรมของเขา เพราะอะไร เพราะสัจธรรมอันนี้ผู้ที่เขาแสวงหาได้มันแสนทุกข์แสนยาก พอได้มาแสนทุกข์แสนยากสิ่งที่มันมีคุณค่านะมันควรทะนุถนอมมา มันควรจะรักษานะ มันไม่ควรการทำลาย มันควรจะทะนุถนอม มันควรจะเห็นคุณค่า เพราะเห็นคุณค่ามันเป็นที่พึ่งอาศัยของเทวดา อินทร์ พรหม ของมนุษย์ ของสัตว์โลกทั้งหมดไง
สิ่งที่เป็นสัจธรรม สัจธรรมเป็นของที่มีคุณค่า ถ้ามีคุณค่าขึ้นมาแล้วนี่ มันควรจะส่งเสริมมันควรจะเชิดชู เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ขึ้นมาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม พอแสดงธรรมต่อไปพระปัญจวัคคีย์มีดวงตาเห็นธรรมต่อขึ้นมา แสดงอนัตตลักขณสูตรเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา สิ่งที่แสดงเกิดขึ้นมาเป็นพระรัตนตรัยเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะพระปัญจวัคคีย์นี่ เห็นไหม เป็นสาวกสาวกะเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟัง
การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางธรรมวินัยนี้ไว้ วางธรรมวินัยนี้ไว้ด้วยพระรัตนตรัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พระธรรมคือสัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว นี่พระอริยสงฆ์ก็ได้ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้บรรลุธรรม บรรลุธรรมขึ้นมาอย่างนั้นการบรรลุธรรมอย่างนั้นมันจะมีคุณค่า ความที่ว่ามีคุณค่า การที่มีคุณค่านะมันสูงส่ง ไม่ใช่การทำลาย ไม่ใช่การเหยียบย่ำ ไม่ใช่ การที่มันจะมีคุณค่ามันต้องมีคุณค่าอย่างนั้นสิ
นี่มันเพราะมันไม่เห็นแก่คุณค่า มันเห็นแก่ตัวไง เห็นแต่ความสะดวกสบาย เห็นแก่ความพอใจของตนเท่านั้นคนเดียว แล้วไปทำลายๆ ทำลายไปแล้วมันทำลายอะไรนี่ มันก็ทำลายศรัทธาความปรารถนาของสัตว์โลก มันทำลายไปทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันจะทำจริงๆ นี่ ถ้ามันจะทำจริง เห็นไหม มันต้องมีความเสมอกัน จะต่างกันไม่ได้ จะบอกว่าเป็นคนพิเศษ คนพิเศษมันก็ออทิสติกนั่นไง คนพิเศษ ถ้าพระพิเศษๆ ก็พระอยู่เวรอยู่กรรมไง ถ้าพิเศษน่ะ ถ้าพิเศษกว่านั้นมันก็ตาลยอดด้วนไปเลย มันจะเอาพิเศษมาจากไหน ความว่าพิเศษๆ พิเศษตรงไหน มันไม่มีอะไรพิเศษหรอก มันต้องอยู่ในธรรมวินัยอันเดียวกัน ธรรมวินัยอันเดียวกันเท่านั้น มันถึงลงอุโบสถสามัคคีร่วมกันได้ ถ้าลงอุโบสถสามัคคีร่วมกันได้นี่ด้วยทิฏฐิเสมอกัน ด้วยความเห็นเสมอกัน มันไม่มีใครยกใครได้หรอก ไม่มีใครยกเว้นได้หรอก ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครยกเว้นได้
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ ต่อไปในอนาคตกาลสิ่งใดที่เป็นวินัยนี้ถ้ามันแบบว่าสิ่งเล็กน้อย ถ้าจะยกเลิกก็ยกเลิกได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งไว้เลยนะ แต่เวลาพระกัสสปะถามพระอานนท์ขึ้นมาท่ามกลางสงฆ์ นี่เถรวาทๆ คือสงฆ์พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ทำสังคายนากันมา แล้วก็ลงมติกันว่าจะไม่แก้ไข
ไม่แก้ไขเพราะเหตุใด ไม่แก้ไขเพราะว่าถ้าเกิดมีการแก้ไขไป เห็นไหม ดูสิ ดูพระจุนทะ พระจุนทะนะไปเห็นลัทธิศาสนาอื่น เวลาศาสดาเขาตายไปแล้วมันมีความแตกแยก ก็มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมมันเป็นเพราะเหตุนั้นล่ะ มันเป็นเหตุนั้นเพราะว่าเขาไม่มีวินัย พระจุนทะก็อาราธนาให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัย บัญญัติไม่ได้มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้พูดไว้ก่อน และไม่พูดในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
เวลามันเกิดขึ้น พอมันเกิดขึ้นตั้งแต่พระสุทิน ตั้งแต่พยายามความเห็นกับครอบครัว ไปมีเพศสัมพันธ์ เรื่องลูกชายที่ไอ้พืชๆ นั่นน่ะ สุดท้ายแล้วมีความเศร้าใจ นี่ไงเพราะยังไม่มีธรรมวินัย เห็นไหม สิ่งใดที่ทำได้ ทำไม่ได้ มันก็อยู่ที่วินิจฉัยของผู้ที่จะกระทำ แต่ทำไปแล้วก็เศร้าหมอง ทำไปแล้วก็เศร้าใจ พอเศร้าใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกไปถาม ก็ยอมรับความจริงว่าได้ทำอย่างนั้นจริงๆ ทำอย่างนั้นจริงๆ เห็นไหม นี่ต้นบัญญัติ ถึงได้บัญญัติวินัยมาเรื่อยๆ ไง
ถ้าการบัญญัติวินัยนี้มานี่ พระจุนทะไปเห็นลัทธิศาสนาอื่นเพราะว่า เพราะวินัยนี้มันไม่มีการบังคับใช้ เขาถึงมีปัญหา เห็นไหม อาราธนาให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบัญญัติก็บัญญัติต่อเมื่อ ต่อเมื่อมันเกิดมีความผิดพลาดขึ้นมาถึงได้บัญญัติๆ มา บัญญัติสิ่งนั้นขึ้นมา เห็นไหม เวลาถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เห็นไหม อานนท์ ถ้าสิ่งใดที่มันเล็กน้อย ถ้าจะยกเลิกบ้างก็ได้
แต่สุดท้ายแล้วนี่แค่ไหนมันยกเลิกล่ะ พระกัสสปะถามพระอานนท์ว่า แค่ไหนที่ว่ามันจะยกเลิกน่ะ พระอานนท์ก็บอกว่า ก็ไม่รู้ว่าแค่นั้นมันเล็กน้อย แค่ไหนมันมาก ความเล็กน้อยหรือมากนี่มันอยู่ที่มุมมองใช่ไหม ถ้ามุมมองของคนรักคนสงวนรักษา จะเล็กน้อยแค่ไหน เขาก็ดูมันก็ใหญ่โตทั้งนั้น เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพูดเขื่อนมันจะพัง พังเพราะตามดนั่นน่ะ เขื่อนมันจะพัง เห็นไหม ดูสิสิ่งที่จะเข้าตามนุษย์ก็ขี้ผงนั่นล่ะ
ไอ้ของเล็กน้อยๆ มันก็เล็กน้อย นี่ก็เล็กน้อย ต่างคนต่างก็ยกเว้นๆ พอยกเว้นขึ้นไปแล้วเล็กน้อยๆ เดี๋ยวต้นไม้มันก็ตาย มันตายถึงที่นั่นนะ แต่ถ้าคน เห็นไหม ดูสิ พอสุดท้ายแล้วพอพระอานนท์บอกว่า ไม่รู้ว่าแค่ไหน ไม่รู้แค่ไหน พระกัสสปะก็เลยขอมติในที่ประชุมสงฆ์ สงฆ์ ๕๐๐ องค์พระอรหันต์ทั้งนั้น ทำสังคายนา เถรวาทๆ ก็เริ่มมาจากนั่น ถ้าเริ่มมาจากนั้นน่ะ ถ้าเล็กน้อยขนาดไหนเราก็ยังจะรักษากันไป รักษากันไปมันไม่เป็นไม่ตายหรอก
นี่ความทุกข์ความยากในหัวใจมันจะเป็นจะตาย เวลาที่มันทุกข์มันยากขึ้นไปนี่ เห็นไหม ไม่มีทางออก ไม่มีทางไป ก็หันหน้าเข้ามาพึ่งศาสนา หันหน้าเข้ามาหาที่พึ่ง แล้วร่มโพธิ์ร่มไทรเป็นที่พึ่งพอเข้ามาแล้วก็จะมาทำลายกัน เข้ามาแล้วก็เป็นกาฝาก กาฝากที่มาเจาะมาไชตัวศาสนา แล้วศาสนามันอยู่ที่ไหนล่ะ ศาสนามันอยู่ที่ไหน ธรรมมันอยู่ที่ไหน แล้วธรรมมันก็ยังไม่เกิดขึ้นมาไง ถ้าธรรมมันเกิดขึ้นมา ใครมันจะยกเว้นได้
ดูสิ ดูชีวิตของหลวงปู่มั่นสิ หลวงปู่มั่นท่านเสียสละทั้งนั้นน่ะ เวลาหลวงตาท่านเป็นผู้อุปัฏฐาก เห็นไหม นี่พระผู้เฒ่า มีแต่ความเมตตา นี่ไง ดูที่ว่า พระอานนท์บอกว่าของเล็กน้อยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ยกเว้นๆ น่ะ ไอ้นี่ไม่ได้ยกเว้นเลย ทำความถูกต้องทั้งนั่นน่ะ เพียงแต่ว่าถือธุดงควัตร ธุดงควัตรนะฉันมื้อเดียว ไอ้นี้เพียงแต่ขอน้ำมะพร้าวเพื่อหล่อเลี้ยงผู้เฒ่า ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ เพราะเป็นความที่เป็นแบบอย่าง ท่านเสียสละมาหมด เสียสละด้วยความเปิดเผย นี่เสียสละมาด้วยชีวิตของท่าน
นี่ท่านจะเอาสิ่งใดก็ได้ในโลกนี้ นี่ศรัทธามหาศาล คนที่ศรัทธาหลวงปู่มั่นมีแต่เศรษฐีกุฏฺมพีทั้งนั้นนะ เศรษฐีใหญ่โตขนาดไหนก็เป็นลูกศิษย์ของท่าน แล้วทำไมเขาให้ดูแลไม่ได้ ทำไมเขาจะรักษาไม่ได้ แต่ท่านไม่เคยสนใจเรื่องอย่างนั้นเลย ท่านใช้ชีวิตของท่านเป็นแบบอย่าง เห็นไหม นี่เป็นแบบอย่างขึ้นมา แล้วมันถึงจะมั่นคงมา มั่นคงเพราะอะไร มั่นคงเพราะมันมีตัวอย่างไร มั่นคงเพราะมันมีผู้ที่กระทำไง ผู้ที่กระทำแล้วมันมีผลอย่างนั้นไง นี่ทำเช่นนั้น นี่จะเป็นสัจจะเป็นความจริง เขาค้นคว้า เขามีกระทำ เขารักษา เขาถนอมกัน เขาไม่ได้เอามาหาแดก นี่ไง มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น
ในการลงอุโบสถศีล นี่สิ่งนี้มันควรเป็นธรรมๆ อย่าเหยียบย่ำสิ ทำไม่ได้ให้ออกไป อยู่ไม่ได้ให้ออกไป ไม่ใช่มันไอ้นี่ นี่ไงเวลาที่เขาพูด เห็นไหม นี่ว่าทำๆ ทำตัวเองให้ห่างจากศาสนา หรือทำให้ศาสนามันเสื่อม นี่มันทำ
คนที่รักษาเขารักษานะ หลวงตาท่านพูดประจำ คนที่ดูแลรักษาดูแลรักษาจะเป็นจะตาย ไอ้คนเข้ามาแม่งทำลาย ทำลายอย่างเดียว แล้วมาทำไม มาทำลายมาทำไม ไอ้คนที่เขารักษาๆ เกือบเป็นเกือบตาย รักษากันมาตลอด เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านรักษาของท่านมา รักษาเพราะอะไร รักษาไว้เพราะเพื่อจะค้นคว้า เพื่อจะมีการกระทำ ท่านการกระทำของท่านเพื่อประโยชน์กับท่าน เพื่อประโยชน์กับลูกหลาน
ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระกัสสปะไง พระกัสสปะเอย เธอก็อายุ ๘๐ เท่าเรา ทำไมต้องถือธุดงควัตร ถือธุดงควัตรถือไปทำไม เธอเป็นพระอรหันต์แล้ว พระกัสสปะเป็นเอตทัคคะในการถือธุดงควัตร ข้าพเจ้าจะถือไปก็เพื่ออนุชนรุ่นหลัง เพื่ออนุชนรุ่นหลังไม่ใช่เพื่อตัวท่านเลย ไม่ใช่เพื่อใครทั้งสิ้นเลย นี่ไง เพื่อหัวใจของสัตว์โลก เพื่อหัวใจคนที่เขาค้นคว้า หัวใจคนที่แสวงหา หัวใจของเขาๆ ให้เห็นหัวใจของเขาบ้างสิ หัวใจของชาวพุทธน่ะ หัวใจของคนเขาที่ศรัทธา หัวใจของคนที่ปรารถนา
ไอ้เรามันไปทำ พฤติกรรมมันทำลาย ทำลายที่มันเห็นๆ ทำลายที่มันชัดเจนอย่างนั้นนะ มันทำลายไปได้อย่างไร นั้นนะแล้วพูดถึงเขานี่ดูสิบริษัท ๔ เห็นไหม อุบาสก อุบาสิกาของเขา เขาเห็นพระไง นี่ไง สายกรรมฐาน พระปฏิบัติเขาก็เคารพนบนอบของเขา เขาไว้ใจ เขาไม่ไว้ใจเราหรอก เขาไว้ใจหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เขาไว้ใจเพราะครูบาอาจารย์ของเราท่านนิพพานไปแล้วชีวิตของท่านทั้งชีวิตท่านมันเป็นประจักษ์พยานอยู่แล้ว ไอ้ของพวกเรานี่มันยังมีชีวิตอยู่ มันยังตีกลับได้ มันแสดงออกทั้งนั้น
มันไม่ควรทำๆ มันหน้าไหว้หลังหลอก หน้าก็พูดอย่างหนึ่ง ทำว่าศรัทธา ทำว่าจริงจัง ทำว่าจะเอาจริง แล้วมันไม่จริงซักอย่างหนึ่ง ไม่จริงแล้วลับหลังไม่ควรทำลาย ทำลายทั้งนั้น ทำลาย เวลาทำลายมันก็เป็นกรรมของคนๆ นั้นน่ะ แต่ถ้ามันทำลายมันต้องไปทำลายในพฤติกรรมของเขา อย่ามาทำลายในสังคม ในสังฆะ ในสิ่งที่ว่าเขาเคารพศรัทธา ก็ถ้ามีความสามารถก็ต้องไปทำกันเอง อย่าเข้ามาทำลายในส่วนรวม ส่วนรวมต้องรักษาไว้
หลวงตาท่านพูดประจำ เวลาอยู่กับท่าน ท่านบอกว่าวัดป่าบ้านตาดนี้ปฏิบัติดี มีสิ่งใดเข้ามาท่านก็ดุ ท่านก็เอ็ด ท่านก็บอกว่าที่ท่านทำอย่างนั้นๆ ก็ท่านเสียสละของท่าน การดุการเอ็ด การทำให้คนขัดใจคนมันจะเป็นที่เคารพบูชาได้อย่างไร สิ่งใดมา สิ่งใดก็ขัดอกขัดใจไปทั้งนั้นน่ะ แต่มันก็จำเป็นต้องทำ ต้องทำต้องอะไร เหมือนสระน้ำ สระน้ำนั้นมันควรจะสะอาดบริสุทธิ์ ใครหิวใครกระหาย ใครเหนื่อยอ่อนมาได้มาใช้สระน้ำนั้นมันก็เป็นที่ชื่นใจ ถ้าสระน้ำนั้นมันมีขี้ มันแต่มูตรแต่คูต มันก็มีแต่ขี้ นี่เวลาใครๆ เข้ามามันจะเป็นประโยชน์อะไร ไอ้นี่มันมีแต่ขี้ ไอ้เรามันก็มีแต่ขี้อยู่แล้ว เพราะขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ไอ้ขี้ก็ไม่รู้จักว่าขี้ เพราะว่ามันไอ้ตัวข้างในมันมีแต่ขี้อยู่แล้ว ถ้าข้างในเป็นขี้มันก็ไม่เห็นว่าเป็นขี้ไง
แต่ถ้าคนที่เขาจิตใจเขาประเสริฐ เขาเห็นว่าขี้เขาขยะแขยง กลิ่นมันเหม็น เขาไม่ต้องการ แต่ไอ้ตัวมันขี้อยู่แล้ว ตัวเองมันก็กลิ่นเดียวกันมันจะไปเหม็นอะไรล่ะ มันก็ชอบนะสิ นี่ไงสิ่งที่เขาสงวนรักษาๆ จะเป็นจะตาย ไอ้คนที่ไม่สงวนรักษามาทำลาย ทำลายนะ เวลาต่อหน้าทำว่าเชิดชู ลับหลังมันทำลายทั้งนั้นนะ ถ้ามันทำลายๆ แล้วมันทำลายไม่ได้ เพราะว่ามันทำลายหัวใจของชาวพุทธ มันไม่ได้ทำลายใครทั้งสิ้น มันทำลายหัวใจของชาวพุทธ
ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม นี่พุทธศาสนา กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เวลาจะออกประพฤติปฏิบัติหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านทุ่มเททั้งชีวิต เวลาไปไหน หลวงปู่เสาร์ท่านไปไหน เห็นไหม เขาถาม นี่จะไหนกันนี่ มีทั้งแม่ชี มีทั้งสามเณร อ๋อ ครอบครัวนี้จะย้ายครอบครัวเหรอ เขาทั้งเหยียดทั้งหยาม เขาทั้งถากทั้งถาง เขาทำอย่างไรนั่นมันเป็นความเห็นของเขา เพราะมันยังไม่มีประจักษ์พยาน
ท่านก็ไม่สนใจ ท่านก็แสวงหาของท่าน เพราะท่านยังยุคแสวงหาของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนั่น แต่เวลาท่านแสวงหาของท่าน ท่านก็ประสบความสำเร็จในหัวใจของท่าน แล้วมีสิ่งใดที่กระทบกระเทือนมากน้อยแค่ไหน ท่านก็บอกว่าเป็นโลกธรรม ๘ มันผ่านไปจากหัวใจของท่าน มันไม่มีสิ่งใดตกผลึกในใจของท่าน ท่านทำของท่าน เห็นไหม อยู่ป่าอยู่เขา ท่านอยู่ของท่าน อยู่ด้วยความสุขนะ ไม่ได้อยู่ด้วยความประชดประชัน ไม่ได้ประชดประชันเขา ว่าฉันต้องการอย่างนั้น ฉันจะแบ่งแยกอย่างนั้น ไม่ใช่ เขาอยู่ด้วยความพอใจ เขาอยู่ด้วยความสุขในใจของเขา ถ้าเขาอยู่ด้วยความสุขในใจของเขา กาลเวลาเท่าไรมันก็ไม่กระทบกระเทือนใจดวงนั้น
แต่ไอ้พวกกระมิดกระเมี้ยน มาอยู่เพื่อฉันเป็นพระป่า ไอ้นั่นมันอยู่ด้วยความทุกข์ อยู่ด้วยความหวาดระแวง มันอยู่ด้วยความกดดันใจทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติเข้ามาแล้วมันไม่มีสิ่งใดตกค้างในใจของท่าน ท่านอยู่ด้วยสุขความสงบในใจของท่าน ท่านอยู่ด้วยความพอใจของท่าน ท่านมีความสุข นี่ดูสิ เขาจะเสียดสี เขาจะเหยียดหยามขนาดไหน มันก็เหยียดหยามทางโลก โลกเขาคิดกันเองว่าอยู่กับทางโลกนั้น อยู่กับแสง สี เสียง อยู่กับความชุ่มไปด้วยกาม มันจะมีความสุขไง แล้วว่ากามคุณ ๕ กามคุณ ๕ มันก็เป็นคุณของโลก กามคุณก็คุณของผู้ครองเรือน เพราะผู้ครองเรือนมันก็ต้องมีกาม
แต่ถ้ามันเป็นพรหมจรรย์ การเป็นพรหมจรรย์ เห็นไหม เขาอยู่ในศีลในธรรม เขาอยู่ในสมาธิ เขามีความสุขความสงบในใจของเขา เขามีความสุขของเขา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วจิตสงบมันแลกมาอย่างไร มันแลกมาจากข้อวัตรปฏิบัติ แล้วข้อวัตรปฏิบัตินั้นมาจากไหน ก็มาจากหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านทำของท่านมาแล้ว ท่านประสบความสำเร็จของท่านมาแล้ว มันเป็นความจริงของท่านมาแล้ว ท่านถึงวางข้อวัตรปฏิบัตินี้ไว้
ไอ้พวกเรา เราศึกษา เรามีแบบอย่างมาจากครูบาอาจารย์ของเรา เราก็จะมาประพฤติปฏิบัติตามแบบอย่างของครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติตามแบบอย่าง ถ้าหัวใจมันยังดื้อด้าน หัวใจมันยังต่ำช้า แต่เราก็พยายามจะขวนขวาย พยายามจะพัฒนามัน มันจะต่ำช้า มันจะดื้อด้านอย่างไร เราก็จะพัฒนาเข้ามาให้มันดีขึ้น เราไม่ใช่ปล่อยให้มันดื้อด้านอย่างนั้น แล้วก็กดถ่วงกันไป นี่ลากกดทับกันไป สิ่งที่มันจะเป็นที่เชิดชูของสังคม มันไปเชิดชูของชาวพุทธ นี่ชาวพุทธเขาแสวงหา เขาทุกข์เขายาก เขาก็ค้นคว้าของเขา เขาหาไม่มี ไม่มีของเขา เขาพยายามแสวงหามาอยู่ เขามีความเชื่อในที่ใด ในที่นั้นเป็นความเชื่อของเขา เป็นหัวใจของเขา ให้เห็นหัวใจของเขา ให้เห็นความปรารถนาของเขา ให้เห็นการแสวงหาของเขา มันน้ำใจของเขามันน่าสงสาร
ไอ้เรามาเป็นนักรบ บวชมาแล้วมาลับล่อหน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าก็ว่าอย่างหนึ่ง ลับหลังก็ทำอย่างหนึ่ง แล้วทำไปแล้วมันทำลายน้ำใจเขาไหม อ๋อนี่หรือนับรบ นี่หรือนักบวช นี่หรือกรรมฐาน อ๋อ กรรมฐานเขาใช้ชีวิตกันอย่างนี้เหรอ นี่เวลาพูดธรรมแสดงธรรม แหม สุดยอด ในการประพฤติปฏิบัตินะเลวทราม ความเลวทรามอย่างนั้นน่ะ นี่ไง ถ้ามันเลวทรามอย่างนั้นมันเข้ากันไม่ได้ ถ้ามันเข้ากันไม่ได้ มันจะลงอุโบสถสามัคคีกันไม่ได้ ถ้าลงอุโบสถสามัคคีกันไม่ได้มันจะเป็นสงฆ์ขึ้นมาได้อย่างไร
ถ้าเราจะเป็นสงฆ์ๆ หนึ่ง เราไม่ใช่กาฝาก เราเป็นพืชพรรณเป็นไม้ต้นหนึ่งในชุมชนในป่านั้น ในป่านั้น เห็นไหม มันจะมีต้นไม้แตกต่างหลากหลาย นั่นมันก็เป็นต้นไม้ที่ประจำป่านั้นที่มันเกิดมาจากเมล็ดพันธุ์อย่างนั้น แต่มันก็เป็นป่าขึ้นมา เห็นไหม จริตนิสัยของคน คำว่าจริตนิสัยของคน นี่ชาวพุทธๆ มีจริตนิสัยแตกต่างกันไป ถ้าเขามาเห็นภัยในวัฏสงสาร มาบวชเป็นพระ เห็นไหม การบวชเป็นพระมันก็มีเป้าหมายแตกต่างหลากหลาย ถ้าเป้าหมายจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ เป้าหมายเพื่อจะมาสร้างอำนาจวาสนาบารมี ถ้าปฏิบัติไปแล้วมันไม่สามารถจะบรรลุธรรมหรือมันจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ เราก็พยายามประพฤติปฏิบัติของเราให้มันมีจริตนิสัย นี่เราต้องดัดแปลงตัวเรา ปรับปรุงตัวเราให้เข้าสู่ธรรม ไม่ใช่มาเหยียบย่ำ ไม่ใช่มาทำลาย มาเหยียบย่ำมาทำลายกันอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าเหยียบย่ำทำลายอย่างนี้มันไม่ใช่เหยียบย่ำทำลายแล้วมันจบกันแค่นี้ไง
คนที่มันเห็น คนที่มันเห็น เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่น นี่เวลา ๔ ทุ่มท่านว่ามาแล้วเทวดามาแล้ว จะมาขอฟังเทศน์ท่าน เวลามาแล้วเห็นพระนอนหลับ นอนต่างๆ เนี่ย ไปบอกไปฟ้องหลวงปู่มั่น นี่เวลาพระนอน นอนไม่มีสติสตังเลยน่ะ โอ้ คนหลับมันก็ไม่มีสติอย่างนี้ เทวดาย้อนมาเลย ถึงไม่มีสติ ผู้ที่มีศีลมันก็ควรสงบเสงี่ยมมากกว่านี้
นี่แม้แต่เทวดาเขารู้เขาเห็นของเขา มาฟ้องหลวงปู่มั่น นี้หลวงปู่มั่นจึงได้เตือนพระของท่าน เตือนพระของท่านนะ ตั้งแต่ ๔ ทุ่มไปแล้วนี่ เทวดาจะมาแล้ว ถ้ามาเส้นทางสายนี้ ควรที่จะเดินจงกรม นั่งสมาธิ อย่านอน หรือถ้านอนก็ปิดประตูให้ดี ปิดๆ เห็นไหม นี่ไงคำว่าปิดๆ ให้ดี ที่บ้านตาดถึงเป็นอย่างนี้ เวลาจะนอนเขาจะปิดให้หมด ไม่นอนให้ใครเห็น การนอนให้คนเห็นนี่มันไม่เป็นอาบัติ แต่มันไม่ควรทำเพราะอะไร เพราะว่ามันการฝึกฝนมาจากหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านมาขนาดนั้นนะ เวลาที่มันเป็นจริงนี่ นี่ไง ไอ้อย่างนี้มันไม่มีในวินัยหรอกว่าควรนอนนอนอย่างไร แต่แล้วนอนสถานที่อย่างใด แต่ไม่ให้นอนด้วยกัน ไม่ให้นอนกับอนุปสัมบัน ห้ามนอนกับอนุปสัมบันเกิน ๓ คืน นอนกับพระด้วยกันก็ไม่ได้ ต้องให้แยกส่วนนอน นี่เวลาแยกกันๆ เห็นไหม วินัยมันก็มี เทวดาเขาก็รู้ เทวดาเขาคุยกับหลวงปู่มั่น แต่พวกเรา เห็นไหม เชื่อเหรอว่ามีเทวดา ถ้าเชื่อไม่ทำตัวอย่างนี้ เวลาพูดถึงความละเอียดลึกซึ้งเรื่องของจิตๆ เรื่องของผู้ที่เขามีคุณธรรม เขาละเอียดลึกซึ้งจนเขาสื่อสารกันด้วยนามธรรม
ไอ้ของเรานี่เวลาเรามาบวชเป็นพระ เราเชื่อเหรอว่ามีเทวดา ถ้าเราเชื่อว่ามีเทวดา เราจะไม่ทำตัวอย่างนี้ เราจะไม่ทำตัวเหลวแหลกอย่างนี้ แล้วนี่ดูสิ เวลาพูดนะพูดปลิ้นปล้อน มันพูดอย่างนี้ได้อย่างไร มันทำต่อหน้าลับหลัง มันทำอย่างนี้แล้วมันมีประโยชน์อะไร นี่ไง เรามาทำไม เรามาดัดแปลงตัวเราใช่ไหม เรามาก็เพื่อให้อยู่ในศีลในธรรมใช่ไหม เราไม่ได้มาเพื่อจะมาเพิ่มใส่หัวโขนมากขึ้นๆ ใส่หัวโขนมากขึ้นให้กิเลสมันตัวใหญ่ขึ้น เรามาละมาวาง เราไม่ใช่มาเพิ่มจำนวนมัน ถ้าเรามาละมาวาง เราก็ต้องซื่อสัตย์สิ
ถ้ามันมีความสัตย์ มีความสัตย์ เห็นไหม ศีลก็คือศีล นี่ศีล สมาธิ ปัญญา ธรรมและวินัย ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา นี่หลวงตาท่านพูดประจำ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม เนี่ยชัดๆ เลย เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป วินัยอย่างไรชั่งมัน ข้อวัตรที่เขาทำแม่งก็เรื่องของมัน เหยียบย่ำเขาไป เหยียบย่ำธรรมวินัยขึ้นไป เหยียบย่ำหัวพระพุทธเจ้าไป แล้วก็อวดว่ามีธรรมๆ มันเอามาจากไหน มันเป็นไปไม่ได้ มันพื้นฐานของมัน มันต้องมีพื้นฐานของมันมาก่อน
ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเขามีศีลขึ้นมา ถ้าศีลมันไม่บริสุทธิ์ ศีลไม่มั่นคงนะ เวลาปฏิบัติไปแล้วมันจะเป็นมิจฉาสมาธิทั้งนั้น มิจฉาเพราะอะไร มิจฉาเพราะเป็นอารมณ์ของเรา แต่ถ้าศีลมันบริสุทธิ์ขึ้นมา ศีลที่บริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์ สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลนโภคสมฺปทา นี่ศีลมันทำให้สุขสงบ โภคสมบัติของเราๆ มันเป็นโภคสมบัตินะ คนที่ประพฤติปฏิบัติ คนที่เขาปฏิบัติเขาว่านี่คือสมบัติของเขา ถ้าเป็นสมบัติของเขา เขารักษาของเขา
ถ้ามันมีสัจจะของเขา ไอ้นี่มันจะไปครอบความกะล่อน ไปครอบความปลิ้นปล้อนของกิเลส กิเลสมันจะปลิ้นปล้อนต่อรอง เวลาปฏิบัติอย่างนั้นๆ อย่างนี้ อย่างนี้อย่างนั้น โอ๋ ปฏิบัติอย่างนี้ไม่ได้หรอก ลองไปที่นั่นเป็น ฮู้ เป็นพระอรหันต์ โอ๊ย ปฏิบัติอย่างนี้ไม่ได้หรอก ปฏิบัติต้องไปบนก้อนเมฆ ถ้าเป็นก้อนเมฆเดี๋ยวจะลอยไปได้เลย
นี่มันปลิ้นปล้อนนะ ถ้าสีเลน สุคตึ ยนฺติ ศีลที่มันบริสุทธิ์น่ะมันจะปลิ้นปล้อนอย่างนี้ไม่ได้ มันไม่มีอยู่จริง ถ้ามันมีอยู่จริง เห็นไหม นี่ปัจจัตตัง สันทิฎฐิโกถ้าจิตมันสงบ มันสงบกลางหัวใจดวงนี้ มันไม่ได้สงบเพราะการคาดหมาย ไม่ได้สงบเพราะสถานที่ ไม่ได้สงบเพราะคาดว่าจะไปนั่นไปนี่
ถ้าคาดว่าไปนั้นๆ นะ นั่นนะอสัตย์ มันไม่สัตย์จริง เพราะสัจจะปัจจุบันนี้กำลังนั่งอยู่นี่ สัจจะปัจจุบันนี้พุทโธมันอยู่ที่กลางหัวใจนี่ หัวใจที่มันพุทโธอยู่นี่ถ้ามันมีสัตย์ ถ้าเป็นสัตย์มันมีสัตย์ของมัน มันรักษาอย่างนี้ นี่สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลนโภคสมฺปทา มันมีโภคทรัพย์มีสมบัติ ถ้ามีสมบัติขึ้นมามันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันก็จะมั่นคงของมัน ถ้ามั่นคงของมัน เห็นไหม ถ้ามั่นคงมานะเขาไม่ทำอย่างนั้น
พระปฏิบัติเรื่องศีลนี่สำคัญมาก รักษากันด้วย เพราะอะไร เพราะถ้าจิตมันไม่ลง ถ้าภาวนาไม่ได้น่ะจะค้นคว้าแล้ว มันเป็นเพราะอะไร มันเป็นเพราะอะไร นี่ไงพอจิตเจริญแล้วเสื่อม ไอ้นี้มันไม่เจริญนะสิ ถ้ามันเจริญขึ้นมานะเจริญแล้วมันมีความสุข ความสุขน่ะ คิดสิสมบัติของเรานะ มันหายไปนี่สมบัติของเรามันเสื่อมค่าไปนี่ คนที่เขามีคุณค่านะ เวลาทรัพย์สมบัติของเขาเสื่อมค่านี่ เขาแค่ดอกเบี้ยต่ำ แค่หมุนเงินแล้วเงินไม่ได้เป้านะ เขาทุกข์แล้วๆ
นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันสงบจิตมันเสื่อมไปนี่มันทุกข์ร้อนอย่างไร แล้วเราจะรักษาอย่างไร เราจะพัฒนาอย่างไร เขาขวนขวายเขาหาทางนะ เปลี่ยนสถานที่ หาครูบาอาจารย์ สิ่งใดที่มันไปเสริมนี่พยายามลดทอนมัน พยายามมีการกระทำ เขาค้นคว้าเขาแสวงหา เขามีการกระทำเขาต้องต่อสู้กับมัน เขาต้องพลิกแพลงกับมัน ถ้าคนที่มีแล้วเสื่อม
แต่ที่มันไม่มีเลย ไม่เคยมีแล้วไม่เคยเสื่อมนี่ มันไม่เคยมีมันไม่รู้จักว่ามีเป็นอย่างไร เอ้า มีเป็นอย่างไร ถ้ามีเป็นอย่างไร ไม่เข้าใจว่ามีเป็นอย่างไรก็เลยไม่เชื่อไง แล้วมีเป็นอย่างไร เขามีก็มีเรื่องของเขาไป ไม่ใช่เรื่องของเรา เออ เอ้าไอ้นั่นก็เรื่องสงฆ์ ไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของสงฆ์ก็ให้สงฆ์ไปสิ เอ้า เรื่องของเราก็เรื่องของเราน่ะ นี่ไง ถ้าเรื่องของเรา เรื่องอะไรเรื่องของเราล่ะ เพราะเรื่องของเราก็บวชขึ้นมาก็ศีล ๒๒๗ ศีลเท่ากันไง เอ้า ถ้าเรื่องของเรา เราก็ต้องอยู่ของเราคนเดียวสิ เอ้า นี่เราอยู่กับเขาน่ะ เราอยู่กับเขา เห็นไหม
นี่ไง เนี่ยสัปปายะ ๔ สถานที่เป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ถ้าหมู่คณะเป็นสัปปายะความเสมอกันโดยหมู่คณะ นี่ทิฏฐิเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ เขาแสวงหาสัปปายะ ๔ แสวงหากันที่เราจะขวนขวายที่เราประพฤติปฏิบัติ จิตดวงนี้มันต้องมีที่ประพฤติปฏิบัติ ที่มันขวนขวาย ที่มันพัฒนาของมัน ถ้ามันพัฒนามันพัฒนาด้วยตัวมันเองไม่ได้ มันก็ต้องหาชุมชนหาหมู่สงฆ์
นี่หมู่สงฆ์ เห็นไหม ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระจายอำนาจ กระจายอำนาจ ให้สงฆ์ปกครองสงฆ์ นั้นสงฆ์ปกครองสงฆ์นะ อยู่กับหลวงตา หลวงตาเวลาท่านมีอะไรท่านถามเลย หมู่คณะว่าอย่างไร เพราะว่าท่านองค์หนึ่งมีค่าก็พระในวัดเหมือนกัน เรานั่งฟังตลอด หมู่คณะมีความจำเป็นอะไรไหม ถ้าไม่มี ทุกคนก็เงียบหมด ทุกคนก็เคารพบูชาด้วยธรรมดา หมู่คณะเงียบกริบเลย ถ้าอย่างนั้นผมจัดการนะ ถ้าอย่างนั้นผมจัดการนะ
เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมเป็นธรรมอย่างนี้นะ ท่านถามเลยว่าใครมีความจำเป็นอะไรไหม ถ้ามีความจำเป็น เห็นไหม นี่มันเป็นของสงฆ์นี่มันมีความจำเป็นไหม ถ้าใครมีความจำเป็นให้พูดมา แล้วทีนี้หมู่คณะก็อย่างว่าแหละด้วยความเคารพ ด้วยความเคารพกับท่านจริงๆ แล้วสิ่งจริงๆ เขาก็ท่านถวายท่านนั่นแหละ แต่ในเมื่อถวายท่าน มันก็เป็นของวัดป่าบ้านตาด มันของส่วนกลาง มันเป็นของส่วนกลาง ท่านจะถามเลย หมู่คณะมีความเห็นอะไรไหม สมัยที่ก่อนออกมาช่วยชาติ นี่เงียบกริบ ไม่มีใครเขาพูดน่ะ ถ้าไม่มีใครมีความจำเป็น ผมจะเอาไปสร้างนั่นนะ ผมจะทำอย่างนั้นนะ ท่านพูดอย่างนี้ประจำ
นี่มันมีใครสูงกว่าใคร มันมีใครพิเศษกว่าใคร มีบุคคลพิเศษตรงไหน มันไม่มีใครพิเศษเลย ครูบาอาจารย์ที่สูงส่งขนาดไหนท่านยังเสมอกัน แล้วเรามีพิเศษตรงไหน แล้วเอาอะไรมาเป็นพิเศษ เขาทำกันกูไม่ทำ เขาทำอย่างนั้น กูทำอีกอย่างหนึ่ง มันได้อย่างไร มันไม่ได้ มันไม่ได้นะ เพราะที่ทำเวลาทำมันทำด้วยทิฏฐิมานะด้วยเอาชนะคะคาน
แต่ความเห็นๆ ผู้ที่เห็นน่ะ เราสงสารคนที่มอง คนที่เห็นคนที่มองเขาเศร้าใจนะ เขาเศร้าใจ เศร้าใจตั้งแต่สังคมแล้ว แล้วเขาก็เศร้าใจผู้ที่ปกครองดูแล เขาเศร้าใจนะ ผู้ปกครองดูแลทุ่มเทขนาดไหน ผู้ปกครองดูแลเขาดูแลอย่างไร แล้วมาอยู่ในการปกครองดูแลนี่ หน้าอย่างหลังอย่าง ปลิ้นปล้อนไปทุกอย่าง แล้วยังอ้างอีกนะว่าฉันพิเศษ แล้วด้วยสังคมของสงฆ์ สงฆ์เขามีน้ำใจต่อกันเพราะว่ามันพูด เห็นไหม ดูสิ เวลาเกิดอธิกรณ์ สิ่งใดที่ได้ตัดสินแล้วห้ามรื้อฟื้น ใครรื้อฟื้นเป็นอาบัติ เวลาพระลงมติก็ต้องเป็นฉันทามติ ค้านแม้แต่เสียงเดียวก็ไม่ได้ นี่ความเห็นนั่นนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ลงเป็นร่องไปทางเดียวกัน แล้วถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิมันเป็นสงฆ์ส่วนใหญ่มันก็อย่างที่เขาเป็นฉันทามติมันเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่ามันเป็นประเพณีใช่ไหม มันเป็นประเพณีว่าผู้น้อยเกรงใจผู้ใหญ่ นี่ว่ากันไป
แต่เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์มาเหมือนกัน หลวงตานี่แหละให้ ๑๐๐ พรรษาด้วย ถ้ามันทำผิดก็คือผิด ถ้าให้พรรษาเดียวถ้ามันทำถูกก็คือถูก แม้แต่สามเณรน้อยทำถูกเรายังต้องฟังเขาเลย หลวงตาท่านพูดว่านี่อาวุโสภันเตนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ความถูกต้อง ความถูกผิดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้ามันถูกด้วยแล้วอาวุโสด้วยแล้วทำดีด้วย โอ๊ย สาธุนะ พวกเราแสวงหาอย่างนั้นนะพวกเราแสวงหากัน
นี่ดูสิ ดูกิเลสในหัวใจของเรามันดิ้นร้นมันปลิ้นปล้อนขนาดไหน กิเลสในหัวใจของเรานี่มันไว้ใจได้ไหม แล้วมันไม่มีที่พึ่งเลย มันไม่มีใครที่มันมีอำนาจครอบงำมันได้เลย เราไปอยู่กับครูบาอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์ท่านมีคุณธรรมนะ มันครอบหัวใจของเรานะนี่เราแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ให้มีคุณธรรมครอบงำในใจของเราให้กิเลสมันเบาลง ให้กิเลสมันสงบตัวลง เขาหาครูบาอาจารย์ที่มีอำนาจวาสนาบารมีช่วยปกป้องคุ้มครองดูแลหัวใจของเรา ดูแลหัวใจของเรา เขาแสวงหา เขาพยายามค้นคว้าหาครูบาอาจารย์แบบนั้น
แต่มันส่วนใหญ่แล้วไปหาครูบาอาจารย์ มันเป็นจานกระเบื้อง มันเป็นจานเก่าทิ้งแล้วแล้วใครจะพึ่งใครล่ะ ถ้าใครมันพึ่งใครไม่ได้ ถ้าที่ไหนมีที่พึ่งมีที่ไว้วางใจ เราอย่าเป็นกาฝาก อย่าไปทำลายสิ อย่าทำลาย เราทำไม่ได้เราต้องบอกว่าเราทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเราทำไม่ได้เรามีสิทธิพิเศษจะทำอีกอย่างหนึ่ง ให้สงฆ์ส่วนใหญ่ทำไปอย่างหนึ่ง แต่ฉันจะทำของฉันไปอีกอย่างหนึ่ง มันจะอยู่กันได้อย่างไร ถ้ามันอยู่ไม่ได้น่ะมันทำลายนะ มันทำลายๆ
เราจริงๆ นะ ไอ้เรื่องชื่อเสียง ไอ้เรื่องความเชื่อถือนี่สำหรับเรานะไร้สาระมาก จะบอกว่า สำหรับกูเลย อย่าว่าสำหรับเรา สำหรับกูนี่ ไอ้เรื่องที่ว่าทำแล้วกูเสียชื่อเสียงนี่ สำหรับกูนี่ไม่มี แต่หัวใจของเขา แล้วหัวใจที่เขามาเห็นสภาพแบบนี้ หัวใจของคนที่เขาแสวงหานะ หัวใจของคนที่เขาแสวงหา เขาแสวงหาแล้วนี่มันก็ต้องว่า เออ ทำแล้ว เห็นไหม มันอยู่ในหลักในเกณฑ์ แล้วการศึกษาสมัยนี้ทุกคนศึกษาได้ทั้งนั้นนะ ทุกคนศึกษาได้หมด ในเว็บไซต์นี่เข้าไปค้นได้หมด แล้วทำอย่างนี้ๆ แล้วทำอย่างนี้แล้วหน้าไหว้หลังหลอก แล้วหลวงพ่อทำไมปล่อยไว้อย่างนี้ หลวงพ่อทำได้อย่างไร
นี่ไง มันย้อนกลับมาไง ทั้งๆ ที่อย่างกูไม่สนใจเรื่องอย่างนี้เลย แต่หัวใจของคนที่มันควรที่จะได้ประโยชน์ มันควรที่จะได้ประโยชน์ๆ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา การเกิดการตายชาติหนึ่งนะ ไม่ได้เกิดตายง่ายๆ หรอก แล้วการเกิดการตายชาติหนึ่ง แล้วกว่าจะเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมาพบพระพุทธศาสนาแล้วกว่ามันจะเชื่อๆ แล้วกว่าเขาจะมาค้นคว้าๆ แล้วกว่าเขาจะมาปฏิบัติ เขาจะต้องต่อสู้กับกิเลสของเขาขนาดไหน เขาจะต้องใช้ปัญญาขนาดไหนเขาถึงจะลงใจ เขาถึงจะปักใจเชื่อได้ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดควรไม่ทำ แล้วเข้ามาแล้วมาเจอปลิ้นปล้อนอย่างนี้ใครมันจะฟังได้ มันฟังไม่ได้หรอกเพราะเขาก็มีปัญญา ใครโง่ ช้าหรือเร็วเท่านั้นน่ะ เดี๋ยวมันทันกันหมดน่ะ ไม่มีใครจะเหนือใครไปได้ตลอดหรอก ความลับไม่มีในโลก มันเปิดเผยมาเมื่อไหร่ก็เท่านั้นละ ไม่มี
ฉะนั้นทำอย่างนี้ไม่ได้ มันทำไม่ได้เป็นกาฝากไม่ได้ ถ้าจะอยู่ด้วยกันจะต้องทำเหมือนกัน ธรรมและวินัยมีอันเดียวกัน มันเป็นแต่พันธุ์ไม้จริตนิสัยของคน ถ้าจริตนิสัยของคน เห็นไหม มันเน้นหนักอย่างไร อย่างเช่น ปัญญาอบรมสมาธิ อย่างพุทธานุสสติ นี่ไงคำบริกรรม ถ้ามีศรัทธาจริต ศรัทธาจริตหรือพุทธจริตอันนี้อยู่ที่สติปัญญาของคนที่จะแสวงหาพิจารณา มันเป็นสิทธิ์น่ะ หลวงตาท่านพูดประจำนะ ถ้าเป็นธรรมเราไม่ล่วงสิทธิ์ใครเลย เพราะมันเป็นสิทธิ์ไง ความเป็นสิทธิ์นะ การค้นคว้าการกระทำของเราเป็นของเรา แต่วินัยอย่าผิดนะ ท่านไม่ยอม ไม่ได้ วินัยนี้ไม่ได้เลย ใครฝืน เสร็จ
แต่ถ้าสิทธิส่วนบุคคลไปเลย นี่ไง เวลาจะประพฤติปฏิบัติของคน ใครมีความเห็นใครมีความตั้งใจอย่างใด ใครมีจริตนิสัยอย่างใด นี่ของของตนทำให้เต็มที่เลยๆ ไม่ต้องห่วงว่าพระสงบหรือเรานี่จะคอยติคอยเตียน คอยอิจฉาตาร้อน คอยขัดขวางคอยทำลาย เวลาพูด เห็นไหม ไปอยู่ที่ไหนๆ มีแต่คนทำลาย เราฟังมาประจำ เวลาไปอยู่ที่ไหนนี่ไอ้พวกปฏิบัตินี้แหละ พออยู่กับครูบาอาจารย์องค์ไหน พอมันมีแววหน่อยเขาพาไปทำงานแล้ว เพราะอะไร เพราะเขากลัวว่าภาวนาเป็นแล้วจะไปถามเขา ไอ้เรื่องปฏิบัตินะ สิ่งที่เขาไม่เป็นน่ะ หน้าฉากทั้งนั้นนะปฏิบัติ แต่เนื้อแท้แล้วกะล่อนปลิ้นปล้อนทั้งนั้น หน้าฉากปฏิบัติ
แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านให้ปฏิบัติเลย แล้วปฏิบัติเพราะอะไร เพราะปฏิบัติแล้วมันจะมีอุปสรรค ปฏิบัติแล้วจิตใจมันต้องมันมีปัญหา นี่ครูบาอาจารย์ท่านจะแก้ตอนนั้น ตรงนั้นน่ะเอาจริงขึ้นมา ให้มันได้จริงได้จังขึ้นมา เวลาไปเที่ยวธุดงค์มาไปเห็นมาเราก็ท้อใจ ทุกคนไปเห็นแล้วก็คอตก เวลาเรามาอยู่ร่วมกัน เห็นไหม เราไม่ได้พูดว่าเราดีกว่าเขานะ เขาด่ากันทั่วโลกทั่วสงสาร เขาด่ากันทั้งนั้น เพราะมันไม่ตรงกับกิเลสใคร มันไม่ตรงกับความเห็นใคร เขาไม่มีใครเขาเชื่อหรอก แต่ไอ้เรื่องความเชื่อมันเป็นเรื่องส่วนบุคคล เรื่องของเขา
แต่เราทำของเรา เรามีแบบอย่าง เรามีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เรามีหลวงตา เรามีครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ท่านทำของท่าน ถ้าผิดท่านด่าเราเละแล้ว สมัยหลวงตานี่มีคนไปฟ้องเยอะมาก ฟ้องเรื่องเรานี่เยอะมาก เป็นคนอื่นไม่ต้องฟ้องท่านยังด่าเลย เป็นไอ้หงบนะเคยด่าไหม ไม่ด่าเพราะอะไรล่ะ ไม่ด่าเพราะท่านรู้โลกธรรม ๘ ไง เรารู้ทั้งนั้นน่ะเพราะท่านพูดกับเราส่วนตัวเยอะมาก ส่วนตัว ความเป็นส่วนตัวมันมีของมันนะ ไอ้นี่มันก็เป็นอำนาจวาสนาของคน มันเหมือนดาวฤกษ์ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์มันต้องเปล่งแสงของมัน
นี่ก็เหมือนกัน ใครมีอำนาจวาสนาขนาดไหนก็เปล่งของมัน ไอ้นี่พูดถึงการปฏิบัตินะ การปฏิบัติของคนมันต้องขวนขวายต้องการกระทำ ไอ้ว่าเปล่งแสงๆ นี่มันเหมือนทางโลก ไม่มีใครอยากดังอยากใหญ่ อยากดังอยากใหญ่มันไม่ใหญ่ ไม่ดัง ไม่ใหญ่ ใหญ่ไม่ได้หรอก มันใหญ่โดยลูกโป่ง เดี๋ยวก็แตกไม่มีทางเป็นไปได้หรอก แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่อยากดังอยากใหญ่ แต่มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น เพียงแต่บริหารจัดการมันอย่างไรเท่านั้น เพื่อเป็นประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์กับโลก เอวัง